ประวัติโรงงานผลิตเครื่องแซกโซโฟนในประเทศอิตาลี
- armthanavisuth
- May 19, 2020
- 3 min read
Updated: May 20, 2020
ปัจจุบัน แซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่รู้จักและได้รับความนิยมอันดับต้นในประเทศไทย เมื่อพูดถึงยี่ห้อแซกโซโฟนโดยส่วนใหญ่จะรู้จักบริษัท Selmer ของฝรั่งเศส บริษัท Yamaha ของญี่ปุ่น บางคนอาจรู้จักแซกโซโฟนที่ผลิตจากประเทศจีนและไต้หวัน แต่ยังมีอีกประเทศหนึ่งที่เป็นแหล่งผลิตแซกโซโฟนคุณภาพดีระดับโลก นั้นคือประเทศอิตาลี วันนี้จะพาไปรู้จักประวัติมาของผลิตแซกโซโฟนในประเทศอิตาลี

รูปจาก https://www.fantinelli.it/en/company.html (2020)
ประวัติช่วงเริ่มต้น
สำหรับประวัติความเป็นมาของผลิตแซกโซโฟนในประเทศอิตาลี การผลิตแซกโซโฟนที่อิตาลีครั้งแรกนั้นยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่เริ่มพบข้อมูลด้านการผลิตที่ชัดเจนที่สุดคือเมื่อแซกโซโฟนที่ผลิตโดยบริษัท Ferdinando Roth (ภาพที่ 1) ออกจำหน่ายในปี 1895 ทั้งประเภทโซปราโน จนถึงบาริโทน (ปัจจุบันบริษัท Bottali & Sons รับช่วงต่อไปในปี 1898) ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าอาจมีการพยายามผลิตแซกโซโฟนตั้งแต่ปี ค.ศ.1875 โดยบริษัท Agostino Rampone เนื่องจากพบว่า Agostino Rampone ใช้ไม้ในการออกแบบและทดสอบประสิทธิภาพเชิงกลของระบบ (Key work) ปัจจุบันไม้ที่ใช้ในการทดลองนี้ยังจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Museo Etnografico di Quarna Sotto (ภาพที่ 2). การผลิตแซกโซโฟนในอิตาลีเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงปี ค.ศ.1900 ภายหลังจากได้มีการตั้งโรงงานผลิตเครื่องดนตรีหลายแห่งอาทิเช่น Alessandro Maldura (บริษัท ก่อตั้งขึ้นในปี 1850) Paolo Maino (ก่อตั้งขึ้นในปี 1836) Ferdinando Roth (บริษัท อิตาลีก่อตั้งขึ้นในปี 1838) บริษัท Rampone & cazzani (ก่อตั้งขึ้นในปี 1800) และ Wenzel Stowasser ก่อตั้งธุรกิจชื่อว่า Magenta ราวปี 1899 (บริษัทเหล่านี้เริ่มต้นผลิตเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้ ต่อมาในช่วง ค.ศ.1900 จึงเริ่มผลิตแซกโซโฟน

ภาพที่ 1 Ferdinando Roth 1895 Catalogo Generate
ที่มา Saxophone Manufacture in Italy: A Short Survey (2005)

ภาพที่ 2 พิพิธภัณฑ์ Museo Etnografico di Quarna Sotto
ที่มา : Comune.quarnasotto.vb.it (2020) https://www.distrettolaghi.it (2020)
การเปลี่ยนแปลงในช่วงศตวรรษที่ 20
ในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อวงดนตรีท้องถิ่นเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมกับบริษัทหลายแห่งเริ่มขยายตัวทำให้มีช่างฝีมืออิสระจำนวนมากเริ่มทำงานภายใต้สัญญากับบริษัทรายใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับแซกโซโฟนรูปแบบใหม่ บริษัท Florence, Pupeschi และบริษัทแรกที่ผลิตแซกโซโฟนหลากหลายชนิดตั้งแต่โซปราโนไปจนถึงบาริโทน ซึ่งรวมทั้งการปรับปรุง key work ของคาริเน็ตที่รู้จักกันในชื่อ “Pupeschi System” (ภาพที่ 3) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพลงแจ๊สได้รับความนิยมมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในยุโรป ทำให้ความต้องการเครื่องดนตรีโดยเฉพาะแซกโซโฟนเพิ่มในอิตาลีอย่างมาก ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้บริษัทของชาวอิตาลีที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าสู่ธุรกิจกับผู้ผลิตเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดของอเมริกาเช่น Buescher, Conn และ King บริษัทเหล่านี้มีให้สนใจเครื่องดนตรีอิตาลีมากเนื่องจากมีคุณภาพสูง ราคาต่ำกว่าคู่แข่ง และมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้แซกโซโฟนแบบ curved soprano, straight alto และ half curved soprano ( ภาพที่ 4 ) กลายเป็นที่นิยมมาก เครื่องดนตรีเหล่านี้ถูกจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา รุ่นแรกสุดที่ผลิตโดย Rampone & Cazzani ซึ่งเครื่องดนตรีต้นแบบยังสามารถเข้าไปชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาใน Quarna Sotto

ภาพที่ 3 Pupeschi System
ที่มา - mimo-international.com (n.d)

ภาพที่ 4 straight alto
ที่มา : Saxophone Manufacture in Italy: A Short Survey (2005)
ลักษณะของแซกโซโฟนในช่วงปี ค.ศ. 1900
แซกโซโฟนโซปราโนไปจนถึงบาริโทนที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 1900 มีลักษณะแตกต่างจากปัจจุบันเล็กน้อยเช่น double octave ลงต่ำสุดที่ B key และสูงสุดที่ F key(ปัจจุบันต่ำสุดที่ Bb และสูงสุด F หรือF#) และไม่มี นิ้ว trill (trill C, trill F#) เนื่องจากสมัยนั้นเทคนิคการเล่นแซกโซโฟนยังไม่พัฒนาเหมือนในปัจจุบัน และระยะเสียงของแซกโซโฟนค่อนข้างแคบกว่า ทำให้ในช่วงทศวรรษที่ 1930 บริษัท Rampone & Cazzani ได้การออกแบบแซกโซโฟน รุ่น “Delle Piane Patented System” (ภาพที่ 7) double keyboard (มีปุ่มเสริมที่มือซ้าย) สามารถเล่นได้ถึง 3 octaves นอกจากนี้ยังมีแซกโซโฟนแบบ 'non plus ultra’ (ภาพที่ 5) ที่มีการตกแต่งนูนบน bell (ปลายสุดของแซกโซโฟน) ยังเป็นเครื่องดนตรีที่น่าทึ่งแม้กระทั่งทุกวันนี้ จึงมีคุณค่าทางศิลปะนับเป็นความสามารถพิเศษของช่างฝีมือชาวอิตาลีมีความชัดเจนในคุณภาพของเครื่องดนตรีที่พวกเขาสร้างขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ นักดนตรีชาวอเมริกันที่มีโอกาสได้เล่นเครื่องดนตรีอิตาลีต่างก็ตระหนักถึงคุณค่าของเครื่องดนตรีที่ผลิตในอิตาลี

ภาพที่ 5 Catalogo Generale 1930 - Saxofoni Non Plus Ultra embossed bell.
ที่มา: The Sistema Brevettato Delle Piane Saxophone (2006)
ผลกระทบจากสงคราม
ในช่วงทศวรรษที่ 1920-1930 เมื่อรัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลีให้การสนับสนุนการศึกษาด้านดนตรีของกองทัพ ทำให้เกิดการสนับสนุนให้ใช้เครื่องดนตรีที่ผลิตภายในประเทศ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองประเทศอิตาลีได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ส่งผลให้การค้าขาย การส่งออก รวมถึงการผลิตเครื่องดนตรีอิตาลีหยุดชะงัก หลายบริษัทต้องเปลี่ยนการผลิตเครื่องดนตรีไปผลิตอุปกรณ์เพื่อใช้ทำสงคราม ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Buescher ในสหรัฐอเมริกาถูกดัดแปลงเป็นการผลิตเครื่องวัดความสูงและอุปกรณ์ปั๊มน้ำมัน (เนื่องจากข้อมูลของบริษัทอิตาลีในช่วงสงครามโลกไม่ได้เผยแพร่ จึงยกตัวอย่างบริษัทในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามเช่นเดียวกัน) และบริษัท Dante Rancilio (Milan), Zinzi (Rome) และ Stowasser ในอิตาลี ต้องปิดตัวลง เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับบริษัทในกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ แต่ความต้องการเครื่องดนตรีอิตาลีก็ไม่ได้ลดลงไปเลย และทหารอเมริกันบางคนที่ต่อสู้ในอิตาลีได้ลองใช้เครื่องดนตรีอิตาลีและเกิดความประทับใจ เจ้าของร้านเครื่องดนตรีรายหนึ่งเล่าว่า “ฉันจำทหารคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ที่บารีและต้องการแลกเครื่อง Buffet & Crampon กับ Rampone ที่เป็นของนักดนตรีชาวอิตาลี”
ในช่วงหลังสงครามมีความต้องการเครื่องดนตรีมากขึ้น บริษัทต่างๆต้องรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแต่เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับการฟื้นฟูความเสียหายจากภัยสงครามจึงทำให้ต้องเน้นผลิตในปริมาณมากแทนที่จะให้มีคุณภาพดี น่าเสียดายที่หลายบริษัทจำเป็นต้องรับผลิตเครื่องดนตรีภายใต้ชื่อบริษัทอื่นเช่น บริษัท Rampone & Cazzani เริ่มผลิตเครื่องดนตรี 2,000 เครื่องในแต่ละเดือนมากกว่าครึ่งผลิตภายใต้ชื่อ เช่น Meazzi, Mogar, Dolnet, Tinelli และ Pan ในขณะที่ชิ้นส่วนส่วนประกอบนำมาจากยี่ห้ออื่น เช่น Keilwerth, B & S, Amati และอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ บริษัท Rampone เริ่มสูญเสียความนิยมในกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ในขณะที่บริษัท Grassi ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่มีชื่อเสียงของ Signora Ida Maria Grassi ที่ก่อตั้งขึ้นที่มิลานในปี 1932 กลายมาเป็นคู่แข่งของ Rampone โดยเริ่มผลิตแซกโซโฟนในโรงงานที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ตรงข้ามกับโรงงานของ Rampone การผลิตแซกโซโฟนในช่วงเวลานี้โดดเด่นด้วยความแตกต่างด้านนวัตกรรมระหว่างทั้งสองบริษัท แม้ว่าพวกเขามักจ้างคนงานกลุ่มเดียวกันที่ตอนเช้าต้องทำงานให้บริษัทที่ประจำอยู่และตอนเย็นทำงานให้อีกบริษัท เนื่องจากการขาดแคลนช่างฝีมือดีจำนวนมาก ช่างฝีมือใน Quarna มักจะผลิตแซกโซโฟนที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงให้กับบริษัท Signora Grassi ซึ่งคล้ายกับแบบจำลองของ Selmer ที่ผลิตในช่วงเวลานั้นนโยบายการผลิตนี้ประสบความสำเร็จ และทั้งสองบริษัทได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในตลาด
ผลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
ในอิตาลียังมีอีกบริษัทหนึ่งที่ผลิตแซกโซโฟนจำนวนมาก ได้แก่ บริษัท Giglio โดยบรรดาช่างฝีมือที่บริษัท Giglio ว่าจ้างคือ Signor Bulgheroni ผู้โด่งดังในเรื่องของการผลิตโอโบคุณภาพดี Signor Somaini ผู้มีชื่อเสียงในมิลานสำหรับความสามารถและความรู้ของเขาและ Alfredo Santoni แต่เป็นที่น่าเสียดายที่บริษัทของ Giglio ไม่สามารถผลิตเครื่องได้เพียงพอ ทำให้ที่โรงงานต้องปิดตัวลง หลังจากปี 1965 กิจการของ Giglio ยังคงดำเนินต่อไปโดย Alfredo Santoni ซึ่งมักจะติดเครื่องหมายการค้าของเขาลงบนเครื่องดนตรีที่เป็นของผู้บริหารชุดก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของกิจการแซกโซโฟนในอิตาลียังไม่ดีขึ้นมากนัก ช่างทำเครื่องดนตรีลดลงอย่างต่อเนื่อง และจากการผลิตจำนวนมากทำให้แซกโซโฟนอิตาลีมักจะถูกเปรียบเทียบกับแซกโซโฟนคุณภาพต่ำที่ผลิตในยุโรปตะวันออก สถานการณ์แย่ลงไปอีกเมื่อถึงปลายทศวรรษ 1970 เมื่อเครื่องดนตรีจาก จีน ญี่ปุ่นและไต้หวันจำนวนมากที่มีคุณภาพดีในราคาที่ถูกเริ่มบุกตลาด กระนั้นบริษัทอิตาลี เช่น Rampone, Grassi, Orsi และ Orfeo Borgani ก็ยังประสบความสำเร็จในการรักษาพื้นที่ในตลาดสำหรับการจัดหาเครื่องดนตรีให้กับวงดนตรีอิตาลีในท้องถิ่น สถานการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อ Grassi ปิดโรงงานของใน Quarna ในปี 1998 หลังจากขายเครื่องดนตรีและเครื่องจักรไปก่อนหน้าในช่วงเวลาเดี่ยวกันบริษัทOrfeo Borgani ได้ตัดสินใจที่จะพัฒนาแซกโซโฟนคุณภาพระดับมืออาชีพของตัวเองโดยออกแบบร่วมกับศิลปินต่างประเทศเช่น Joe Lovano และ Bob Berg
แม้ว่าบริษัท Orsi จะประกาศว่าต้องการที่จะนำเสนอแบรนด์แซกโซโฟนใหม่ แต่ทางบริษัทก็ต้องการที่จะมีเน้นกับการผลิตคลาริเน็ตมากกว่า ตลาดอเมริกาบริหารงานโดยบริษัท คู่ค้าของ L.A. Sax ซึ่งมี Pete La Flaca เป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องดนตรีภายใต้แบรนด์ของตนเองมีแซกโซโฟนประเภทโซปราโนโค้งและคอนทราเบส (รูปที่ 6) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากมิลานซึ่งมี Orsi เป็นผู้ผลิตแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตามกรณีที่น่าสนใจที่สุดคือของ Rampone & Cazzani ในปี 1989 ผู้บริหารของบริษัท Fernando Saltamerenda ตัดสินใจปิดโรงงานซึ่งทำให้การผลิตเครื่องดนตรีและเศรษฐกิจในเมือง Quarna แย่ลง (ต่อมาโรงงานกลับมาเปิดอีกครั้งในปี 1990 โดย ตระกูล Zollo ซึ่งเป็นลูกหลานของ Agostino Rampone) โชคดีที่บริษัท Alessi ของเมือง Omagna ตัดสินใจที่จะช่วยบริษัทและพนักงานทั้งหมดเนื่องจากเจ้าของมีความสัมพันธ์ใกล้กับบริษัทที่ปิดตัว ใน Quarna เพราะ Giovanni Alessi ซึ่งปู่ของเขาที่เคยทำงานที่นั่น ในปี 1920 พวกเขาตัดสินใจที่จะเปิดตัวบริษัทอีกครั้งด้วยการออกแบบแซกโซโฟนใหม่คือแบบ Alessophone โดยมี Signor Roberto Zolla เป็นผู้บริหาร

ภาพที่ 6 Romeo Orsi 1930 Catalogo Generale
ที่มา : Saxophone Manufacture in Italy: A Short Survey (2005)
การรับช่วงต่อ
Signor Zolla ยังเป็นช่างฝีมือและเคยทำงานกับ บริษัทหลายแห่งเช่น Orsi, Rampone และ Grassi เมื่อ บริษัท Rampone & Cazzani ตัดสินใจปิดโรงงาน Roberto Zollaก็เข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารแทน Alessi Ltdเสนอให้เงินทุนในการสร้าง saxophone รุ่น ‘Alessophone’ที่จะผลิตร่วมกับ Luca Polidori Di Volo ผู้ผลิตและนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในเรื่องแซกโซโฟนดัดแปลงของเขาทำให้ในวันนี้ Rampone & Cazzani ให้ความสนใจกับแซกโซโฟนที่ทำจาก 'การผลิตเครื่องดนตรีแบบ Hand made (เน้นการผลิตโดยใช้เครื่องจักรให้น้อยที่สุด) และความสมบูรณ์แบบทางอุตสาหกรรม' การเปิดตัวอีกครั้งในตลาดเครื่องดนตรีที่มีคุณภาพสูง ทำให้ความนิยมเริ่มกลับมาอีกครั้ง
บุคคลสำคัญ
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าช่างที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องเป่าของประเทศอิตาลีคงไม่พ้น Agostino Rampone มีผลงานนวัตกรรมเป็นผู้ค้นคิด double-wall wind instruments (คลาริเน็ตโลหะ) และถึงแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตลงไปแล้วแต่บริษัทของเขาก็ยังคิดค้นแซกโซโฟนแบบ double key-board system (ภาพที่ 7) อีกท่านที่น่าสนใจคือ Paolo Maino เป็นบุคคลที่ทำงานร่วมกับ Agostino Rampone ในการทำ double-wall wind instruments

ภาพที่ 7 ภาพ double key-board system
ที่มา: The Sistema Brevettato Delle Piane Saxophone (2006)
สรุปผล
จากเรื่องราวทั้งหมดแสดงให้เห็นถึง ประวัติศาศตร์และความสามารถอันโชคโชนของช่างฝีมือชาวอิตาลีที่ไม่แพ้ชาติใดในยุโรปเลย นอกจากนี้ประเทศอิตาลียังเก็บเรื่องราวการผลิตแซกโซโฟน ในพิพิธภัณฑ์ที่กล่าวมา หากมีโอกาสสามารถตามรอยเรื่องราวอันน่าทึ่งนี้ต่อไปได้
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
ชื่อบริษัท Rampone & cazzani เกิดจากการแต่งงานของ Egidio Rampone กับ Giuseppina Cazzani ซึ่งเป็นบุตรสาวของ Giovanbattista Cazzani ช่างซ่อมเครื่องเป่าทอง การเป็นชื่อ “Ditte Riunite A.Rampone & G.B.Cazzani” หรือ Rampone & cazzani
บรรณานุกรม
1. American Musical Instrument Society (2011) Double-wall wind instrument production in Italy: a historical overview. 2011 Annual Meeting
American Musical Instrument Society The Musical Instrument Museum, Phoenix Arizona ABSTRACTS OF PAPERS. 4-5
2. DR. JOHN ZUMWALT (2020) The Vintage Silver Clarinet Story. Retrieved from https://clarinetfingeringchart.com/2020/04/02/silver-clarinet/
3. Raganato, E. (2005). Saxophone Manufacture in Italy: A Short Survey. The Galpin Society Journal, 58, 58-65. Retrieved May …, 2020,
4. Raganato, E. (2006). The Sistema Brevettato Delle Piane Saxophone. The Galpin Society Journal, 59, 117-247. Retrieved May ..., 2020,
5. Rampone&Cazzani (n.d.). The history Retrieved
6. American Musical Instrument Society (2011) Double-wall wind instrument production in Italy: a historical overview. 2011 Annual Meeting
American Musical Instrument Society The Musical Instrument Museum, Phoenix Arizona ABSTRACTS OF PAPERS. 4-5




Comments